พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [5. ภิกขุนีสังยุต] 6. จาลาสูตร
เราเป็นผู้ชำนาญในจิต เจริญอิทธิบาทดีแล้ว
พ้นจากเครื่องผูกทุกชนิด
เราไม่กลัวท่านหรอก ท่านผู้มีอายุ
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า อุบลวรรณาภิกษุณีรู้จักเรา จึงหาย
ตัวไป ณ ที่นั้นเอง
อุปปลวัณณาสูตรที่ 5 จบ
6. จาลาสูตร
ว่าด้วยจาลาภิกษุณี
[167] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
ครั้นเวลาเช้า จาลาภิกษุณีครองอันตรวาสก ฯลฯ จึงนั่งพักกลางวันที่โคน
ต้นไม้แห่งหนึ่ง ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปหาจาลาภิกษุณีถึงที่อยู่ได้ถามจาลา-
ภิกษุณีดังนี้ว่า ภิกษุณี ท่านไม่ชอบใจอะไร
จาลาภิกษุณีตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบความเกิดเลย
มารผู้มีบาปกล่าวด้วยคาถาว่า
เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ชอบความเกิด
ผู้เกิดมาแล้วย่อมเสพกาม ใครให้ท่านยึดถือเรื่องนี้
อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดเถิด
จาลาภิกษุณีกล่าวด้วยคาถาว่า
ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว
ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมประสบทุกข์
คือ การจองจำ การฆ่า ความเศร้าหมอง
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบความเกิด
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค [5. ภิกขุนีสังยุต] 7. อุปจาลาสูตร
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเหตุก้าวล่วงความเกิด
ทรงให้เราตั้งอยู่ในสัจจะเพื่อละทุกข์ทั้งปวง
สัตว์เหล่าใดเข้าถึงรูปภพและดำรงอยู่ในอรูปภพ
สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่รู้ความดับจึงต้องมาสู่ภพอีก
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า จาลาภิกษุณีรู้จักเรา จึงหายตัวไป
ณ ที่นั้นเอง
จาลาสูตรที่ 6 จบ
7. อุปจาลาสูตร
ว่าด้วยอุปจาลาภิกษุณี
[168] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
ครั้นเวลาเช้า อุปจาลาภิกษุณีครองอันตรวาสก ฯลฯ จึงนั่งพักกลางวันที่โคน
ต้นไม้แห่งหนึ่ง ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ฯลฯ ได้ถามอุปจาลาภิกษุณีดังนี้ว่า ภิกษุณี
ทำไมท่านจึงอยากจะเกิด
อุปจาลาภิกษุณีตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่อยากเกิดในที่ไหน ๆ
มารผู้มีบาป กล่าวด้วยคาถาว่า
ท่านจงตั้งจิตไว้ในพวกเทพชั้นดาวดึงส์
ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี
และชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเถิด
ท่านจักได้เสวยความยินดี
อุปจาลาภิกษุณี กล่าวด้วยคาถาว่า
พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา
ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ยังผูกพันด้วยเครื่องผูกคือกาม
จำต้องกลับมาสู่อำนาจมารอีก
โลกทั้งหมดเร่าร้อน โลกทั้งหมดคุกรุ่น
โลกทั้งหมดลุกโพลง โลกทั้งหมดสั่นสะเทือน